แฟนเกม Final Fantasy VII ร่วมเปิดใจ ‘ทำไมเกมยังปังอยู่แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน’

ต้องยอมรับเลยว่าการเปิดตัวเกม Final Fantasy VII Remake ไตรภาค เมื่อปี 2020 ก็ได้สร้างปรากฎการณ์ความไฮป์ได้แบบสุด ๆ และในตอนนี้ Final Fantasy VII Rebirth ซึ่งเป็นภาคต่อของเกมไตรภาคก็ยังคงได้รับกระแสที่ดีเช่นเคย จุดที่น่าจะทำให้ใครหลายคนแปลกใจก็คือ “ทำไมคนไฮป์เกม Final Fantasy VII กันนักทั้ง ๆ ที่เกมต้นฉบับก็วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 1997 ซึ่งมันนานมาก ๆ แล้ว”

ล่าสุดก็มีเกมเมอร์ชาวไทยคนหนึ่งที่มีข้อสงสัยนี้ได้โพสต์ถามในกลุ่มชุมชนเกมเมอร์คนไทย ซึ่งก็มีเกมเมอร์ชาวไทยเข้ามาร่วมกันตอบคำถามเป็นจำนวนมาก และผู้เขียนก็ได้รวบรวมคำตอบบางส่วนมาให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ

ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้ Final Fantasy VII ยังคงเป็นที่รักของผู้เล่น

สำหรับสาเหตุหลัก ๆ ที่หลายคนตอบคล้าย ๆ กันก็คือ “ความทรงจำที่มีต่อเกมนี้” โดยเกมเมอร์เหล่านี้ก็ได้อธิบายเหตุผลไว้ต่าง ๆ นา ๆ “เสียงดนตรีตอนเข้าฉากสู้มันหลอมอยุ่ในสายเลือด ได้ยินเมื่อไรก็รู้สึกดี”, “โตมากับซีรีส์นี้ครับ ความผูกพันมันเลยมาก เช่นเดียวกับ Resident Evil ที่มีแฟน ๆ เหนียวแน่นเช่นกัน”, “เกมที่เรารักกลับมาทำใหม่ เหมือนย้อนวัยอีกครั้ง ทำไมจะไม่ชอบละครับ โครตรักเลย”, “ผมจำได้ว่าเกมนี้มันเป็นเกมที่ทำให้ PlayStation 1 ขาดตลาดในช่วงนั้น และทำให้คนไม่เคยเล่น RPG หันมาเล่น การออกแบบตัวละครก็ระดับ Iconic เป็นที่จดจำสุด ๆ” เป็นต้น

นอกจากนี้ผู้เล่นอีกหลายคนก็ได้มายืนยันว่าเกม Final Fantasy VII นี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีความสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลของเกมที่เรียกได้ว่ามีหลากหลายแบบให้เราได้ติดตามกัน เช่น “หลายคนผูกพันกับทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครครับ อีกทั้งจักรวาล Final Fantasy VII แตกแขนงหลายภาคมาก ภาคหลักก็ถือว่าเป็นเกมขึ้นหิ้งได้เลย ขนาดทำภาค Remake ออกมา ทีมพัฒนายังเขียนเส้นเรื่องใหม่เลย” รวมไปถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเกมที่ไม่เหมือนใคร ก็ถูกหยิบยกมาพูดด้วยเช่นกัน โดยมีเกมเมอร์คนหนึ่งได้บอกว่า “ชอบเซ็ตติ้งของโลก ชอบความแฟนตาซีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ชอบคาแรคเตอร์ดีไซน์” ในขณะที่บางคนก็ยอมรับว่าโดนตกด้วยตัวละครหลักอย่าง Tifa และ Aerith จนมีการคอมเมนต์แซวว่า “สมัยเรียนเคยเจอคนที่เราแอบชอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไหมครับ นั่นแหละครับที่ทำให้ผมกลับมาหาเกมนี้อยู่เสมอและมันไม่เคยหายไปจากความทรงจำ”

ก็เรียกได้ว่าเป็นความเห็นที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวครับ แล้วผู้อ่านล่ะครับ ประทับใจเกม Final Fantasy VII ตรงไหน มาคอมเมนต์บอกเล่ากันได้นะครับ ในขณะเดียวกัน Final Fantasy VII Rebirth เกมภาคต่อของ Final Fantasy VII Remake จะวางจำหน่าย 29 ก.พคำพูดจาก สุดยอดเว็บเดิมพันออน. 2024 บน PlayStation 5 ผู้เล่นจะได้ติดตามการผจญภัยของ Cloud และผองเพื่อนเพื่อตามล่า Sephiroth บนแผนที่ที่มีสเกลใหญ่ขึ้น พร้อมสำรวจประวัติเบื้องหลังของตัวละครต่าง ๆ เกมมีทั้งหมด 2 แผ่น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าการผจญภัยในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมแน่นอน!

Final Fantasy VII

แฟนเกมบางส่วนบ่น ‘บทพูด Wuthering Waves ชวนง่วงสุด ๆ’

Wuthering Waves เกมกาชาล่าสุดที่ดึงดูดความสนใจของแฟนเกมอนิเมะและ Genshin Impact ด้วยระบบการต่อสู้ที่เน้นแอ็กชั่นที่น่าตื่นเต้น แต่กลับพบว่าเนื้อเรื่องของเกมนั้นน่าผิดหวังสำหรับผู้เล่นจำนวนมาก

ผู้เล่น Wuthering Waves วิจารณ์บทสนทนาในเกม “น่าเบื่อ”

ประเด็นแรกที่ผู้ใช้งาน Reddit หลายคนเห็นตรงกันก็คือ บทสนทนาในเกมยาวเกินไปจนไม่สามารถใส่ลงในช่องบทสนทนาได้พอดี ส่งผลให้ผู้เล่นต้องอ่านข้อความยาว ๆ บนหน้าจอ แถมผู้เล่นหลายคนรู้สึกว่าบทสนทนานั้น “ยัดเยียด” ข้อมูลมากเกินไป ทำให้ยากต่อการติดตามเนื้อเรื่อง จนมีผู้เล่นบางคนเปรียบเทียบบทสนทนาเหมือนกับการอ่านหนังสือที่น่าเบื่อหน่าย

“ผมว่าตัวละครในเกมนี้มันดูจืดชืดไร้ชีวิตชีวามาก ๆ” หนึ่งในคอมเมนต์ระบุ “เนื้อเรื่องของเกมดูเรียบง่ายและขาดความดึงดูด เอาจริง ๆ นะผมยอมรับเลยว่า Genshin Impact มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและน่าสนใจมากกว่า”

แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือมีผู้เล่นจำนวนมากพบเห็นบทสนทนาของ NPC เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ การระบุเพศผิด และความไม่สมเหตุสมผลมากมาย จนมีผู้เล่นบางคนเปรียบเทียบบทสนทนาเหมือนกับการแปลผ่าน Google Translate แล้วไม่ได้มีการตรวจสอบกับตัวเกมให้ดี ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเสียอรรถรสในการเล่นเกมเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า Wuthering Waves ควรพิจารณาปรับปรุงเนื้อเรื่องของเกมเพื่อดึงดูดผู้เล่นให้มากขึ้น เพราะเนื้อเรื่องก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผู้เล่นจำนวนมากต้องการติดตาม ซึ่งเราก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าทางผู้พัฒนาเกมจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรต่อไปครับคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

Wuthering Waves เป็นเกมแอ็กชั่น RPG แนวโอเพ่นเวิลด์รูปแบบใหม่โดยจะเล่าเรื่องราวของโลกที่มีชื่อว่า Rover ที่อยู่ในยุคแห่งการต่อสู้ และเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เกิดภัยพิบัติเมื่อร้อยปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดได้บุกมายังโลกใบนี้ ทำให้เกิดการทำลายล้างทั่วทุกแห่งหนจนอารยธรรมที่เคยมีเริ่มเลือนหายไป อย่างไรก็ตามยุคแห่งความหวังก็เริ่มย่างกรายเข้ามา หลังผู้รอดชีวิตเริ่มต้นที่จะจับมือกันเข้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ และสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

dexertoWuthering Waves

โหมดเนื้อเรื่องใน Mortal Kombat 1 จะมีความยาวเท่าภาคก่อน

โดยปกติแล้ว เกมต่อสู้มักจะมีโหมดเนื้อเรื่องที่ไม่ยาวมากนัก และ Mortal Kombat 1 ซึ่งเป็นเกมที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยล่าสุดทาง Ed Boon ผู้กำกับเกม ได้ออกมาเปิดเผยว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมจะยาวนานพอ ๆ กับ ภาคก่อนหน้า

Ed Boon ตอบคำถามแฟน ๆ เกี่ยวกับความยาวของโหมดเนื้อเรื่องในทวิตเตอร์ที่เข้ามาถามถึงความยาวของโหมดเนื้อเรื่องว่าจะใช้เวลาเล่นนานเท่าไหร่ โดยเขาไม่ได้ให้ตัวเลขที่แน่นอน แต่เขาบอกว่าโหมดเนื้อเรื่องของ Mortal Kombat 1 จะยาวพอ ๆ กับ Mortal Kombat X และ Mortal Kombat 11

เว็บไซต์ How Long to Beat รายงานว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่ใช้เวลาเฉลี่ย 5.5 ชั่วโมงในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องของ Mortal Kombat X และใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องของ Mortal Kombat 11 ในขณะที่ส่วนขยาย Aftermath ของ Mortal Kombat 11 จะเพิ่มเวลาเล่นมากขึ้นอีก 2-3 ชั่วโมง

จากความยาวที่อ้างอิงไว้ด้านบนก็ถือว่าเป็นความยาวที่ปกติครับ แต่เราก็ต้องมาลุ้นกันว่าในอนาคตจะมีส่วนเสริมใด ๆ เพิ่มเข้ามาอีกหรือไม่ แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

Mortal Kombat 1 จะมีการนำโหมดเนื้อเรื่องกลับมาอีกครั้งพร้อมการเปลี่ยนไปที่คาดไม่ถึงของการแข่งขันแบบคลาสสิคและเรื่องราวเบื้องหลังดั้งเดิมของนักสู้ระดับตำนานที่หลากหลาย รวมไปถึงเกมดังกล่าวจะนำเสนอระบบ Kameo Fighters ซึ่งเป็นตัวละครคู่หูที่ไม่เหมือนใครที่สามารถช่วยเหลือเราในระหว่างการแข่งขัน โดยเกมดังกล่าวมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 กันยายน บน PlayStation 5, Nintendo Switch, Xbox Series X และ Series S และ PC

ที่มา :gamerant

Mortal Kombat 1

โหดเกิน! ผู้เล่นรัน Cyberpunk 2077 บนโทรศัพท์ Android ได้แล้ว

ว่ากันตามตรงแล้วหากย้อนกลับไปสัก 10 ปีที่แล้ว การที่จะนำเกมประสบการณ์คอนโซลมาให้บริการบนสมาร์ทโฟนก็ยังดูเป็นสิ่งที่ไกลตัวไปไม่น้อย มีเพียงเกมระดับเล็กๆ อย่าง Minecraft หรือเกมสปินออฟสำหรับเกมบางเกมเท่านั้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังจะพบว่ามีหลายเกมที่เริ่มผนึกรวมเส้นกั้นของเทคโนโลยีให้กลายเป็นเส้นเดียวกันได้มากขึ้น ทั้ง Fortnite, Genshin Impact หรือ Among Us

อย่างไรก็ตาม แม้หลายเกมจะเปิดให้เล่นแบบครอสเพลย์แล้ว แต่ถ้าจะให้นำเกมระดับ AAA มาให้เล่นจริงๆ หลายคนก็คงอดพูดไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัวไปนิด กระทั่งล่าสุดมีการทดลองจากผู้ใช้งานคนหนึ่งบนโซเชียลมีเดีย X ที่ชื่อว่า Pixel Gamer 4k ที่สามารถแสดงอภินิหารในการรันเกม Cyberpunk 2077 บนสมาร์ทโฟนระบบ Android ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการรันเกมด้วยตัวเองไม่ได้จ้อจี้อาศัยระบบสตรีมมิงผ่านคลาวด์ด้วย

เขากล่าวว่าการทดลองครั้งนี้นับเป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์วิดีโอเกมบน Android เลย โดยจะพบว่าแม้กราฟิกไม่ได้คมชัดเทียบเท่ากัน อีกทั้งเฟรมเรตยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็สามารถเล่นได้ไกลในระดับหนึ่ง ซึ่งหลักการทำงานก็คือการจำลองระบบ x86 และใช้ DirectX Vulkan จนได้ภาพความละเอียดที่ 720p ที่ถือว่าเพียงพอสำหรับการเล่นเกมพกพาในปัจจุบันแล้ว ทำเอาผู้ที่เข้ามาเห็นภาพต่างเมนชันหา CD Projekt RED ให้ลองพอร์ตเกมลงมาบ้างเลย

เขาเชื่อว่าโทรศัพท์ที่มาพร้อม Snapdragon 8+ Gen 1 หรือถ้าเป็น iPhone อย่าง A17 Pro น่าจะใช้งานเกมระดับ PS4 ได้สบายๆ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะในแง่เทคนิคแล้วมันมี Teraflops สูงกว่า PS4 โดยโทรศัพท์ที่เข้าใช้ในการทดลองครั้งนี้ก็คือ Lenovo Legion Y70 นั่นเองครับ ทั้งนี้หากจะตามหาเครื่องมาเล่นเลยตอนนี้อาจจะยังไม่เต็มที่นักเพราะต้องมีการทดสอบหรือปรับแต่งให้ประสบการณ์การเล่นดีขึ้นในอนาคต คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

อีกด้านหนึ่ง Cyberpunk 2077 (รองรับภาษาไทย) วางจำหน่ายแล้ววันนี้ โดยเป็นเกมแนว Open-world มุมกล้องบุคคลที่หนึ่งที่จะพาเราไปสู่ยุคอนาคตอันโหดร้ายท่ามกลางแสงสีและอบายมุขในฐานะทหารรับจ้าง ‘V’ พร้อมเอาชีวิตรอดด้วยการแฮกข้อมูลหรือต่อสู้เพื่อหาชิ้นส่วนดัดแปลงร่างกาย ตัวเกมเน้นย้ำความอิสระในประสบการณ์การเล่นของผู้เล่นซึ่งเราสามารถเลือกว่าจะมีหน้าตาแบบไหน และมีพื้นเพเป็นคนจากกลุ่มใด ส่วน ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาอัปเดตอีกขอเชิญติดตามเช่นเคย

Cyberpunk 2077

Google’s AI visionary says we’ll ‘expand intelligence a millionfold by 2045’ thanks to nanobots, the tech will resurrect the dead, and we’re all going to live forever-

AI is undoubtedly the biggest technology topic of the last decade, with mind-bogglingly vast resources from companies including Google, OpenAI and Microsoft being poured into the field. Despite that the results so far are somewhat mixed. Google’s AI answers are often just straight-up dumb (and incidentally are behind a 50% increase in the company’s greenhouse gas emissions over the last five years), AI imagery and videos are filled with obvious errors, and the chatbots… well, they’re a bit better, but they’re still chatbots. 

One man, however, both predicted this level of interest and certain elements of how AI is developing. The Guardian has a new interview with Ray Kurzweil, a futurist and computer scientist best-known for his 2005 book The Singularity is Near, with the “Singularity” being the melding of human consciousness and AI. Kurzweil is an authority on AI, and his current job title is remarkable: he is “principal researcher and AI visionary” at Google. 

The Singularity is Near predicted that AI would reach the level of human intelligence by 2029, while the great merging of our brains with AI will occur around 2045. Now he’s back with a follow-up called The Singularity is Nearer, a title which doesn’t need much explanation. Strap yourself in for a dose of what some might call techno-futurism, while others may prefer the term dystopian madness.

Kurzweil stands by his 2005 predictions, and reckons 2029 remains an accurate date for both “human-level intelligence and for artificial general intelligence(AGI)–which is a little bit different. Human-level intelligence generally means AI that has reached the ability of the most skilled humans in a particular domain and by 2029 that will be achieved in most respects.” He reckons there may be a few years beyond this where AI can’t surpass “the top humans in a few key skills like writing Oscar-winning screenplays or generating deep new philosophical insights,” but eventually “it will.”

The real nightmare fuel comes with Kurzweil’s notion of the Singularity, which he views as a positive thing and makes some absolutely wild claims about. “We’re going to be a combination of our natural intelligence and our cybernetic intelligence and it’s all going to be rolled into one. Making it possible will be brain-computer interfaces which ultimately will be nanobots—robots the size of molecules—that will go noninvasively into our brains through the capillaries. We are going to expand intelligence a millionfold by 2045 and it is going to deepen our awareness and consciousness.”

Claiming that your field is going to “expand intelligence a millionfold” is the kind of total hubris that belongs at the start of a bad science fiction novel, and strikes me as so abstract as to be essentially meaningless. We don’t even understand how our own brains work, so the notion that they can both be replicated and altered to the whims of people like Kurzweil strikes me as deeply unattractive. Let’s be clear, we are talking about changing peoples’ brains and physiology by injecting them with nanomachines. I somehow don’t think that’s all going to go as swimmingly as some advocates claim.

The AI visionary acknowledges “People do say ‘I don’t want that'” and then argues “they thought they didn’t want phones either!” Kurzweil returns to the theme of phones when discussing accessibility, and the notion that AI advancements will disproportionately benefit the rich: “When [mobile] phones were new they were very expensive and also did a terrible job […] Now they are very affordable and extremely useful. About three quarters of people in the world have one… this issue goes away over time.”

Live forever

Hmm. Kurzweil has a chapter on “perils” in the new book, but seems quite relaxed about the possibility of doomsday scenarios. “We do have to be aware of the potential here and monitor what AI is doing. But just being against it is not sensible: the advantages are so profound. All the major companies are putting more effort into making sure their systems are safe and align with human values than they are into creating new advances, which is positive.”

I straight-up do not believe that and do not trust these big tech companies or their research teams to prioritise safety over AI advancement. Nothing in tech has ever worked this way, and even though it’s now somewhat dated the Silicon Valley philosophy of “move fast and break things” seems to perfectly encapsulate the current AI craze.

Kurzweil’s life and work is all bound up with this technology, of course, so you would expect him to be making the optimistic case. Even so, the following is where I check out: immortality.

“In the early 2030s we can expect to reach longevity escape velocity where every year of life we lose through ageing we get back from scientific progress,” says Kurzweil. “And as we move past that we’ll actually get back more years. It isn’t a solid guarantee of living forever—there are still accidents—but your probability of dying won’t increase year to year. The capability to bring back departed humans digitally will bring up some interesting societal and legal questions.”

AI is going to raise the dead! I really have heard it all now. As for Kurzweil himself: “My first plan is to stay alive, reaching longevity escape velocity. I take about 80 pills a day to help keep me healthy. Cryogenic freezing is the fallback. I’m also intending to create a replicant of myself [an afterlife AI avatar], which is an option I think we’ll all have in the late 2020s. I did something like that with my father, collecting everything that he had written in his life, and it was a little bit like talking to him.”

The phrase “a little bit” is doing a lot of heavy lifting there, because what Kurzweil means is that the replicant of his father was not, in fact, like his father. The interview ends on the note that “it is not going to be us versus AI: AI is going inside ourselves.”

Well. Kurzweil is a hugely respected figure, and holds significant sway within the AI field. I’m just blown away by how much of this he seems to think is desirable, nevermind achievable, and the breezy way with which the manifold potential problems with this technology are dismissed. In 10 years we’ll be increasing our life expectancy with nanobots, and in 20 we’ll all be some sort of human-hardware hybrid with our brains dominated by software we don’t understand and don’t control on a personal level. Oh, and we’ll be resurrecting the dead as digital avatars.

AI is a technology that is currently defined not by what it can do, but by what its advocates promise it will be able to do. And who knows, Kurzweil may well turn out to be right about everything. But personally speaking, I quite like being me, and I have no real desire to bring dead relatives back to life through ghoulish software approximations. Some might call this playing god, but I prefer to put it another way. This whole philosophy is as mad as a badger in a cake shop, and will end just as well.

Geralt gets out of the bathtub and onto your tabletop in new Witcher expansion for Unmatched, the board game where he can fight King Arthur and Spider-Man-

Good news, folks, Geralt is bound for your coffee table. So says Restoration Games, publishers of card and miniatures game Unmatched, who announced today that it’s partnering with CD Projekt Red to bring a bunch of Witcher-themed stuff into the game over the course of two new sets. 

Unmatched works by pitting two, ah, unmatched opponents—say Buffy the Vampire Slayer and a T-Rex, or Dr Jekyll and Robin Hood—against one another. At the beginning of a game, players choose their heroes and corresponding decks as well as a battlefield to wage war on. The new Witcher expansion adds new decks and battlefields to the game.

Called “Steel and Silver,” and “Realms Fall,” each Witcher-themed set adds “three playable hero decks and two unique battlefields,” to Unmatched’s lineup. You’ll be able to play Geralt, naturally, but Restoration also teases that you’ll be able to “lead Ciri to her destiny as the Lady of Space and Time, quaff a Tawny Owl potion, and race across the battlements of Kaer Morhen to stalk your foe.”

By my reckoning, that leaves four heroes still unknown. Yennefer, Triss, and Dandelion seem likely (though the latter maybe as one of the game’s many sidekicks), and perhaps a villain like Eredin or Radovid. But I wouldn’t be surprised if we saw Eskel, Lambert, and/or Vesemir. Still, I’d rather bet everything on Roach being in there.

Anyway, Unmatched has earned some high praise around these parts. When I asked our resident board game czar Robin Valentine what he thought about the Witcher collab, he told me “The idea of all these different characters fighting might make Unmatched sound a bit… Fortnite-y, but on the board it really works. With top notch art and production design, accessible rules, and decks that really capture the spirit and personality of each character, it’s become my favourite board game over the last few years—and The Witcher characters are a great fit for it.”

Sounds good to me, but Restoration is keeping schtum for now, so it’s up to us to speculate just what form the rest of these Witcher-y sets will take when they break cover in 2024. For now, we just know that CD Projekt Red franchise and lore designer Cian Mather says that Restoration “put great care and attention to detail into not only representing the lore of The Witcher,” and that “Players will definitely connect with Restoration’s spin on these beloved Witcher characters when they get their hands on the game.” Well, he would know.